การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
7256
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2554/06/21
 
รหัสในเว็บไซต์ fa2579 รหัสสำเนา 14714
คำถามอย่างย่อ
บทบาทของผู้เป็นสื่อในการสร้างความใกล้ชิดกับอัลลอฮฺคืออะไร?
คำถาม
บทบาทของผู้เป็นสื่อในการสร้างความใกล้ชิดกับอัลลอฮฺคืออะไร?
คำตอบโดยสังเขป

สื่อมีความหมายกว้างมาก ซึ่งครอบคลุมถึงทุกสิ่ง หรือทุกภารกิจอันเป็นสาเหตุนำเราเข้าใกล้ชิดพระผู้อภิบาลได้ถือว่าเป็นสื่อ ขณะที่โลกนี้วางอยู่บนพื้นฐานของระบบเหตุและผล,สาเหตุและสิ่งเป็นสาเหตุ, ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการชี้นำมนุษย์ให้เจริญก้าวหน้าและพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์, ดังเช่นที่ความต้องการทางธรรมชาติของมนุษย์ทั้งหลาย บรรลุและดำเนินไปโดยปัจจัยและสาเหตุทางวัตถุ, ความเมตตาอันล้นเหลือด้านศีลธรรมของพระเจ้า, เฉกเช่นการชี้นำทาง, การอภัยโทษ, การสอนสั่ง, ความใกล้ชิดและความสูงส่งของมนุษย์ก็เช่นเดียวกันวางอยู่บนพื้นฐานของระบบอันเฉพาะเจาะจง ซึ่งได้ถูกกำหนดสำหรับมนุษย์แล้วโดยผ่านสาเหตุและปัจจัยต่างๆ แน่นอนถ้าปราศจากปัจจัย สื่อ และสาเหตุเหล่านี้ไม่อาจเป็นไปได้แน่นอน ที่มนุษย์จะได้รับความเมตตาอันล้นเหลือจากพระเจ้า หรือเข้าใกล้ชิดกับพระองค์ อัลกุรอานหลายโองการ และรายงานจำนวนมากมายได้แนะนำปัจจัยและสาเหตุเหล่านั้นเอาไว้ และยืนยันว่าถ้าปราศจากสื่อเหล่านั้น มนุษย์ไม่มีวันใกล้ชิดกับอัลลอฮฺได้อย่างแน่นอน

คำตอบเชิงรายละเอียด

สำหรับคำตอบในเรื่องนี้, อันดับแรกต้องทำความเข้าใจกับความหมายของ สื่อ เสียก่อน

อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฎาะบาอีกล่าวไว้ในตัฟซีร อัลมีซาน เกี่ยวกับโองการที่ว่า :

"یا ایها الذین آمنوا اتقوا الله و ابتغوا الیه الوسیلة"

โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา! พึงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงแสวงหาสื่อไปสู่พระองค์[1] ซึ่งในการอธิบายถึงสื่อ  อัลลอฮฺ (ซบ.) ว่า :แก่นแท้ของคำว่าสื่อ  อัลลอฮฺ,คือการใส่ใจในแนวทางของอัลลอฮฺ. ในลักษณะที่ว่า ประการแรก : จงถวิลหาความรู้เกี่ยวกับบทบัญญัติของพระองค์ ประการที่สอง : จงแสดงความเคารพภักดีต่อพระองค์ ประการที่สาม : พยายามค้นหาแนวทางการปฏิบัติสิ่งที่เป็นมุสตะฮับ ... เนื่องจากวะซีละฮฺคือการติดต่อสัมพันธ์ประเภทหนึ่ง และการสัมพันธ์กับอัลลอฮฺ (ซบ.) ผู้ซึ่งเป็นนามธรรม ปราศจากสถานที่และกายภาพ, เป็นการสร้างสัมพันธ์ด้านจิตวิญญาณเพื่อค้นหาสายสัมพันธ์ ระหว่างพระผู้อภิบาลกับปวงบ่าว และอีกด้านระหว่างบ่าวกับพระเจ้าไม่มีสายสัมพันธ์อันใดทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ความต่ำต้อยด้อยค่าและความเป็นบ่าว, แน่นอน ด้วยสื่อของการแสดงความเคารพภักดี ทำให้แก่นแท้ของการแสดงความเคารพภักดีบังเกิดขึ้นในตัวเอง และพบว่าตนเป็นผู้ยากไร้และอนาถา  เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ดังนั้น สื่อที่โองการกล่าวถึงก็คือความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้เอง[2]

ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ ตอนอธิบายโองการดังกล่าวข้างต้นกล่าวถึงความหมายของ วะซีละฮฺ ว่า : วะซีละฮฺ เป็นคำที่มีความหมายกว้าง กล่าวคือครอบคลุมทุกภารกิจการงาน หรือทุกสิ่งอันเป็นสาเหตุทำให้ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ (ซบ.) ซึ่งสำคัญที่สุดของสื่อเหล่านั้นคือ อีมานต่อพระผู้อภิบาลและศาสดา (ซ็อล ) การญิฮาดและอิบาดะฮฺ เฉกเช่น นมาซ, บริจาคทานบังคับ,ศีลอด, อัจญฺ การสร้างสายสัมพันธ์กับเครือญาติ การบริจาคในหนทางของอัลลอฮฺ ซึงครอบคลุมทั้งการบริจาคที่เปิดเผยและปิดบัง ตลอดจนทุกการงานที่ดี ...ทำนองเดียวกันการชะฟาอะฮฺของบรรดาศาสดา อิมามผู้บริสุทธิ์ บ่าวผู้เป็นกัลป์ญาณชนของอัลลอฮฺ ตามที่อัลกุรอานได้ระบุไว้ เหล่านี้เป็นสาเหตุให้ใกล้ชิดกับพระผู้อภิบาล, และอยู่ในความหมายอันกว้างของการตะวัซซุลด้วย. ทำนองเดียวกันการปฏิบัติตามเราะซูลและบรรดาอิมาม การเจริญรอยตามแนวทางของพวกท่าน, เนื่องจากทั้งหมดเหล่านี้คือสาเหตุทำให้ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ (ซบ.) แม้กระทั่งการสาบานต่ออัลลอฮฺ ตำแหน่งของศาสดา อิมาม บ่าวผู้บริสุทธิ์ และฯลฯ[3]

ดังนั้น วัตถุประสงค์ของอัลกุรอานจากคำว่า สื่อหรือการตะวัซซุลของบรรดาผู้มีความสำรวมตนจากความชั่ว ให้ยึดมั่นกับสื่อเพื่อสร้างความใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ ก็คือความหมายตามกล่าวมา

อัลกุรอาน นอกจากโองการที่กล่าวแล้ว, โองการที 97 บทยูซุฟกล่าวว่า : พี่น้องของยูซุฟได้ขอร้องบิดา (ยะอฺกูบ) ให้ขอลุกแก่โทษแก่พวกเขากล่าวว่า โอ้ พ่อของเรา โปรดขออภัยโทษแก่เราในความผิดของเรา แท้จริง เราเป็นผู้ผิด

อัลกุรอาน บทเตาบะฮฺ กล่าวถึงการขออภัยโทษของศาสดาอิบรอฮีม (.) ให้แก่บิดาของท่าน ซึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่า บทบาทของดุอาอฺของบรรดาศาสดา (.) ในการขออภัยโทษให้แก่บุคคลอื่น[4]

รายงานจำนวนมากมายจากสายรายงานทั้งชีอะฮฺและซุนนียฺ,กล่าวถึงบทบาทสำคัญของการตะวัซซุล.

หนังสือวะฟาอุลวะฟาเขียนโดยซัมฮูดี (ซุนนีย) กล่าวว่า : การขอความช่วยเหลือและชะฟาอะฮฺจากท่านศาสดา (ซ็อล ) จากตำแหน่งและบุคลิกภาพของท่าน, หรือก่อนการสร้างท่านเป็นสิ่งอนุญาตทั้งสิ้น ตลอดจนหลังการกำเนิดและก่อนการจากไปของท่าน หรือหลังจากการจากไป, ในโลกบัรซัคและในวันฟื้นคืนชีพ[5] หรือหลังจากประโยคต่างๆ,รายงานกล่าวถึงการตะวัซซุลของศาสดาอาดัม (.) ที่มีไปยังท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ) รายงานจากอุมัร บิน คัฏฏ็อบว่า : อาดัมได้วอนขอต่ออัลลฮฺ (ซบ.) จากความรู้ที่ว่าในอนาคตจะมีการสร้างศาสดาอิสลามขึ้นมาว่า :

"یا رب اسئلک بحق محمد (ص) لما غفرت لی"

โอ้ พระผู้อภิบาลฉันขอวิงวอนต่อพระองค์ ด้วยสิทธิของมุฮัมมัด ขอทรงโปรดอภัยแก่ฉันเถิด[6] รายงานบทอื่นจากซุนนีย์ที่บันทึกไว้ เช่น นะซาอียฺและติรมิซียฺกล่าวว่า : มีชายตาบอดคนหนึ่งได้ขอให้ท่านศาสดา (ซ็อล ) ดุอาอฺแก่เขาเพื่อการชะฟาะฮฺอาการป่วยไข้, ท่านศาสดา (ซ็อล ) ได้สั่งให้เขาดุอาอฺเช่นนี้ว่า : โอ้ อัลลอฮฺ ฉันขอวิงวอนต่อพระองค์ และขอมุ่งสู่พระองค์ ผ่านศาสดาของพระองค์ มุฮัมมัด ศาสดาแห่งเมตตา, โอ้ มุฮัมมัด  เบื้องพระพักตร์ของพระผู้อภิบาลของฉัน ฉันขอมุ่งยังท่าน โปรดทำให้ดุอาอฺของฉันถูกยอมรับ โอ้ อัลลอฮฺ โปรดให้นบีเป็นผู้ให้ชะฟาอะฮฺแก่ฉัน[7]

บัยฮะกียฺ กล่าวว่า ช่วงยุคสมัยการปกครองของเคาะลิฟะฮฺที่ 2, มีความแห้งแล้งมากประมาณเกือบ 2 ปี ท่านบิลาลพร้อมกับเซาะฮาบะฮฺ ท่านอื่นได้เดินทางไปยังหลุมฝังศพของท่านศาสดา (ซ็อล ) แล้วกล่าวว่า : โอ้ ยาเราะซูลลัลลอฮฺ โปรดขอฝนให้แก่ประชาชาติของท่านด้วย เนื่องจากความ (แห้งแล้ง) กำลังจะคร่าชีวิตพวกเรา ...[8]

แต่เป็นเพราะสาเหตุใด เราจึงต้องการสื่อด้วย ? คำตอบคือ โลกใบนี้ดำรงอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการชี้นำมวลมนุษย์ไปสู่ความพัฒนาและความสมบูรณ์ ซึ่งความต้องการของมนุษย์นั้นบางครั้งสัมฤทธิผลด้วย ปัจจัยอันเป็นวัตถุและบางครั้งก็ด้วยสาเหตุอื่นที่มิใช่วัตถุ

ตามความเป็นจริงแล้ว สื่อต่างๆ มีบทบาทต่อสาเหตุปัจจัยในการสร้างความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺทั้งสิ้น, เนื่องจากความเมตตาอันเหลือของพระองค์, เช่น การชี้นำทาง, การอภัยโทษ และ ...เช่นเดียวกันบนพื้นฐานของระบบอันเฉพาะพระองค์ได้ประทานแก่มนุษย์ ประกอบกับความประสงค์ที่เปี่ยมด้วยวิทยปัญญาของพระองค์ ที่ครอบคลุมสิ่งเหล่านั้นซึ่งทั้งหมดได้มาถึงมนุษย์ด้วยหนทางแห่งสาเหตุปัจจัยอันเฉพาะ และสาเหตุที่ระบุเอาไว้แล้ว.ด้วยเหตุนี้เอง, ดังที่ปรากฏในโลกของวัตถุ,จะเห็นว่าคำถามเหล่านี้ไร้สาระ : เพราะเหตุใดอัลลอฮฺจึงให้โลกสว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์? เพราะเหตุใดความกระหายของมนุษย์จึงถูกขจัดด้วยการดื่มน้ำ? เพราะเหตุใดตนจึงไม่ตอบสนองความต้องการของตน และของสรรพสิ่งอื่น โดยปราศจากสื่อเหล่านี้เล่า? ในโลกของจิตวิญญาณเช่นกันไม่สามารถกล่าวได้ว่า เพราะเหตุใดอัลลอฮฺจึงไม่ให้การอภัยโทษ ความใกล้ชิด และการชี้น้ำครอบคลุมปวงบ่าว โดยปราศจากสื่อเล่า? อย่างไรก็ตามดั่งเช่นที่ทราบกันดีว่า พืชถ้าปราศน้ำ ดิน ปุ๋ย อากาศ และแสงสว่างแล้วละก็ไม่สามารถเจริญงอกงามไปสู่ความสมบูรณ์ได้, มนุษย์ก็เช่นเดียวกันถ้าปราศจาการช่วยเหลือจากสื่ออันเป็นความเมตตาอันล้นเหลือจากพระเจ้าแล้ว,เขาก็ไม่อาจไปถึงยังเป้าหมายอันเป็นที่ยอมรับได้

ชะฮีด มุเฏาะฮะรี กล่าวว่า : การงานของพระเจ้า, มีระบบและระเบียบ ถ้าหากใครไม่ต้องการใส่ใจกับระบบการสร้างสรรค์ เขาก็จะหลงทาง. ด้วยสาเหตุนี้เอง อัลลอฮฺ (ซบ.) จึงทรงชี้นำทางบรรดาผู้กระทำผิดทั้งหลายว่า จงไปบ้านของท่านศาสดา (ซ็อล ) และนอกจากจะขอการอภัยโทษแล้ว ก็จงขอร้องให้ท่านศาสดาช่วยวิงวอนขออภัยโทษให้แก่พวกตนด้วย อัลกุรอานกล่าวว่า[9] : และแม้นว่าพวกเขา ขณะที่อธรรมต่อตนเอง ได้มาหาเธอ แล้วขออภัยโทษต่ออัลออหฺ และศาสนทูตก็ได้ขออภัยโทษให้แก่พวกเขาด้วยแล้ว แน่นอน พวกเขาก็ย่อมพบว่า อัลลอฮฺนั้นคือพระผู้ทรงอภัยโทษ พระผู้ทรงปรานีเสมอ[10] [11]

เนื่องจากการใส่ใจต่อแบบฉบับของพระเจ้า ซึ่งโองการและรายงานต่างๆ (ซุนนะฮฺ) ได้เน้นย้ำเอาไว้อย่างมากมายถึงเรื่องสือ, การตะวัซซุลกับสื่อต่างๆ ในการอภัยโทษและสร้างความใกล้ชิด

อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสว่า :โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา! พึงสำรวมตนต่ออัลลอฮฺเถิด (อย่าฝ่าฝืน) และจงแสวงหาสื่อไปสู่พระองค์[12]

อัลลามะฮฺ เฏาะบาเฏาะบาอี ได้กล่าวถึงบทบาทอันกว้างไกลของผู้ให้ชะฟาะฮฺ ในบทวิพากเรื่องชะฟาอะฮฺไว้ว่า ตามความเป็นจริงแล้วบุคคลที่ตะวัซซุล,ไปยังผู้ให้ชะฟาอะฮฺเนื่องจากพลังของตนฝ่ายเดียวไม่เพียงพอต่อการไปถึงยังเป้าหมาย ด้วยเหตุนี้ ตนจึงได้ผสมผสานพลังของตนเข้ากับพลังของผู้ให้ชะฟาอะฮฺ ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มพูนพลังให้มากขึ้น,และได้รับในสิ่งที่ปรารถนา,ในลักษณะที่ว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้นโดยใช้พลังงานของตนเพียงอย่างเดียว,จะไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้, เนื่องจากพลังงานของตนฝ่ายเดียวไม่สมบูรณ์ อ่อนแอ และไม่ยั้งยืน...ดังนั้นชะฟาะฮฺจึงเป็นสื่อหนึ่งเพื่อความสมบูรณ์ของสาเหตุ...[13]

จำเป็นต้องกล่าวถึงประเด็นสำคัญสองสามประเด็นในตอนท้าย :

1.แม้ว่าความต้องการด้านวัตถุปัจจัยของมนุษย์ได้บรรลุผล เนื่องจากสาเหตุทางวัตถุ,แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่วัตถุ เช่น ดุอาอฺ การตะวัซซุล จะไม่มีบทบาทสำคัญในการสมปรารถนาด้านวัตถุ, สาเหตุทางจิตวิญญาณบางครั้งเป็นสาเหตุแห่งการสร้างสรรค์ และบางครั้งก็ให้ประโยชน์ล้นเหลือ,กล่าวคือบางครั้งผลอาจเกิดจากสาเหตุของวัตถุ,แต่การที่จะให้ผลเหล่านั้นบังเกิดขึ้นมันมาจากดุอาอฺ และ ...และบางครั้งดุอาอฺก็เป็นตัวลบล้างผลทางวัตถุ, เช่น ไฟจำเป็นต้องลุกไหม้,แต่เนื่องจากลมแรงทำให้ไฟไม่ติด อย่างไรก็ตามสาเหตุหลักที่แท้จริงคือ อัลลอฮฺ พระองค์ทรงสามารถให้ยาบังเกิดผล,พร้อมกับให้สาเหตุทางจิตวิญญาณสมจริง

2.วัตถุประสงค์ของการตะวัซซุลกับนบี (ซ็อล ) บรรดาอิมาม (.) หรือหมู่มิตรของอัลลอฮฺในการเป็นสื่อ ก็เนื่องจากตำแหน่งและฐานันดรอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา  อัลลอฮฺ ซึ่งตามความเป็นจริงเท่ากับได้ใช้ตำแหน่งความใกล้ชิดของพวกเขา เพื่อให้พวกเราได้ใกล้ชิดกับพระองค์เนื่องจากตำแหน่งของพวกเขา[14]



[1] อัลกุรอาน บทอัลมาอิดะฮฺ,35

[2] ตัฟซีร อัลมีซาน,ฉบับแปล, เล่ม 5, หน้า 535

[3] ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ,เล่ม 4, หน้า 364-367

[4] อัลกุรอาน บทเตาบะฮฺ, 114

[5] วะฟาอุลวะฟาอฺ, เล่ม 3, หน้า 1371, คัดลอกมาจากตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ, เล่ม 4 หน้า 367

[6] อ้างแล้วเล่มเดิม

[7] "اللهم انی اسئلک و اتوجه الیک بنبیک محمد نبی الرحمة، یا محمد انی توجهک بک الی ربی فی حاجتی لتقضی لی اللهم شفعه فی"

วะฟาอุลวะฟาอฺ, เล่ม 2, หน้า 1372

[8] "یا رسول الله استسق لامتک فانهم قدهلکوا..."،อัตตะวัซซุล อิลา ฮะกีเกาะติลตะวัซซุล,หน้า 329, คัดลอกมาจากเล่มเดิม, หน้า 368-369

[9] "ولو انهم اذظلموا انفسهم جاؤوک فاستغفروا الله و استغفر لهم الرسول لوجدو الله تواباً رحیماً"

[10] อัลกุรอาน บทอันนิซาอฺ,64

[11] มัจญฺมูอฺ ออซอร ชะฮีดมุเฏาะฮะรี, เล่ม 1, หน้า 264

[12] อัลกุรอาน บทอัลมาอิดะฮฺ,35

[13] ตัฟซีรอันมีซาน,ฉบับแปล,เล่ม 1 หน้า 239,240, เพื่อการศึกษาเพิ่มเติม โปรดพิจารณาหัวข้อ, ความพยายามและบทบาทของมันในการกำหนดชะตาชีวิตในปรโลก, คำถามที่ 280

[14] ตัฟซีรเนะมูเนะฮฺ,เล่ม 4, หน้า 167-172, ตัฟซีรมีซาน, เล่ม 1, หน้า 239-246

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เนื่องจากชาวสวรรค์ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาว เหตุใดท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.)จึงได้เป็นประมุขทั้งที่ยังมีบรรดานบีและบรรดาอิมามท่านอื่นๆอยู่?
    8518 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/01
    ท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นหลานรักของท่านนบี(ซ.ล.)นั้นมีสถานะภาพสูงกว่าชาวสวรรค์ทั่วไปอย่างไรก็ดีเนื่องจากชาวสวรรค์ทุกท่านล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาวบารมีดังกล่าวจึงเจาะจงชาวสวรรค์ที่เป็นชะฮีดหรือเสียชีวิตในวัยหนุ่มสาวเป็นพิเศษซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ขัดกับบารมีของบรรดานบีและบรรดาเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์ท่านอื่นๆอย่างแน่นอนอนึ่งเมื่อพิจารณาเบาะแสต่างๆจะพบว่าฮะดีษดังกล่าวสื่อถึงความเป็นประมุขที่มีต่อชาวสวรรค์ทั่วไปมิได้เป็นประมุขของอิมามท่านอื่นๆหรือบรรดานบี ...
  • หากประสบกับภาวะน้ำแพง จะอาบน้ำยกหะดัสใหญ่อย่างไร?
    7610 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    โดยปกติแล้วการทำอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ถือเป็นมุสตะฮับแต่จะเป็นวาญิบต่อเมื่อต้องทำนมาซฟัรดูหรืออิบาดะฮ์อื่นๆ[1]แต่ถ้าหากน้ำที่ใช้เพื่ออาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั้นมีราคาสูงเสียจนอาจสร้างปัญหาแก่คุณในแง่ทุนทรัพย์ในกรณีเช่นนี้การหาน้ำและการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ก็ไม่เป็นวาญิบอีกต่อไปและสามารถทำตะยัมมุมแทนได้[2]ควรใช้น้ำสำหรับการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่เท่าที่ความสามารถของท่านจะอำนวยฉะนั้นการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่กับน้ำนั้นจะเป็นวาญิบเฉพาะกรณีที่เงื่อนไขด้านน้ำเอื้ออำนวยเท่านั้นอนึ่งหากในหนึ่งวันท่านสามารถอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ได้เพียงครั้งเดียวท่านสามารถเลื่อนการนมาซซุฮริ-อัซริออกไปและอาบน้ำยกหะดัสใหญ่เพื่อให้สามารถทำนมาซซุฮ์ริ, อัซริ, มักริบและอีชาด้วยกับการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ครั้งเดียวได้และหากท่านสามารถอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ได้๒ครั้งให้อาบน้ำยกหะดัสใหญ่สำหรับนมาซซุบฮิหนึ่งครั้งและทำอาบน้ำยกหะดัสใหญ่สำหรับนมาซ๔เวลาที่เหลือดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น (โดยเลื่อนการนมาซซุฮริและอัศริออกไปจนใกล้ถึงเวลานมาซมักริบและอิชา)[1]ประมวลปัญหาศาสนาโดยบรรดามัรญะอ์,เล่ม 1,
  • ถ้าหากมุอาวิยะฮฺเป็นกาเฟร แล้วทำไมท่านอิมามฮะซัน (อ.) ต้องทำสนธิสัญญาสันติภาพกับเขาด้วย แล้วยังยกตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺให้เขา?
    7507 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2555/08/22
    มุอาวิยะฮฺ ตามคำยืนยันของตำราฝ่ายซุนนียฺ เขาได้ประพฤติสิ่งที่ขัดแย้งกับชัรอียฺมากมาย อีกทั้งได้สร้างบิดอะฮฺให้เกิดในสังคมอีกด้วย เช่น ดื่มสุรา สร้างบิดอะฮฺโดยให้มีอะซานในนะมาซอีดทั้งสอง ทำนะมาซญุมุอะฮฺในวันพุธ และ ...ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีช่องว่างที่จะมีความอดทนและอะลุ่มอล่วยกับเขาได้อีกต่อไป อีกด้านหนึ่งประวัติศาสตร์ได้ยืนยันไว้อย่างชัดเจน การทำสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างท่านอิมามฮะซัน (อ.) กับมุอาวิยะฮฺ มิได้เกิดขึ้นบนความยินยอม ทว่าได้เกิดขึ้นหลังจากมุอาวิยะฮฺได้สร้างความเสื่อมเสีย และความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างมากมาย จนกระทั่งว่ามุอาวิยะฮฺได้วางแผนฆ่าบรรดาชีอะฮฺ และเหล่าสหายจำนวนน้อยนิดของท่านอิมามฮะซัน (อ.) (ซึ่งเป็นการฆ่าให้ตายอย่างไร้ประโยชน์) ท่านอิมาม (อ.) ได้ยอมรับสัญญาสันติภาพก็เพื่อปกปักรักษาชีวิตของผู้ศรัทธา และศาสนาเอาไว้ ดั่งที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้รักษาศาสนาและชีวิตของบรรดามุสลิมเอาไว้ ด้วยการทำสนธิสัญญาสันติภาพฮุดัยบียะฮฺ กับบรรดามุชริกทั้งหลายในสมัยนั้น ซึ่งมิได้ขัดแย้งกับการเป็นผู้บริสุทธิ์ของท่านศาสดาแต่อย่างใด ดังนั้น การทำสนธิสัญญาสันติภาพลักษณะนี้ (บังคับให้ต้องทำ) เพื่อรักษาศาสนาและชีวิตของมุสลิม ย่อมไม่ขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของอิมามแต่อย่างใด ...
  • ก่อนการปรากฏกายของท่านอิมามซะมาน (อ.) จะมีมัรญิอฺตักลีด 12 คน ในชีอะฮฺ ในอิสลามเกิดขึ้นใหม่ แต่หลังจากอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ปรากฏกายแล้ว พวกเขาจถูกสังหาร 11 คน จะมีชีวิตเหลืออยู่เพียงแค่คนเดียว? โปรดแจ้งแจงประเด็นนี้ด้วย
    6797 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    จำคำถามที่กล่าวมามีความเป็นไปได้ 2 กรณี. หนึ่งมัรญิอฺตักลีด 11 คน
  • ถ้าหากมุสลิมคนหนึ่งหลังจากการค้นคว้าแล้วได้ยอมรับศาสนาคริสต์ ถือว่าตกศาสนาโดยกำเนิด และต้องประหารชีวิตหรือไม่?
    10081 ปรัชญาของศาสนา 2555/04/07
    แม้ว่าศาสนาอิสลามอันชัดแจ้งได้เชิญชวนมนุษย์ทั้งหมดไปสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ, แต่ก็มิได้หมายความว่าบังคับให้ทุกคนต้องยอมรับเช่นนั้น, เนื่องจากอีมานและความเชื่อศรัทธาต้องไม่เกิดจากการบีบบังคับ, แน่นอน แต่สิ่งนี้ก็มิได้หมายความว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ขัดแย้งต่อรากหลักของศาสนา, เนื่องจากรากหลักของอิสลามวางอยู่บน หลักความเป็นเอกภาพของพระเจ้า และปฏิเสธการตั้งภาคีเทียบเทียมโดยสิ้นเชิง, และในทัศนะของอิสลามบุคคลใดที่ยอมรับอิสลามแล้ว และเจริญเติบโตขึ้นมาในครอบครัวอิสลาม, ต่อมาเขาได้ปฏิเสธรากศรัทธาของอิสลาม และเป็นปรปักษ์ซึ่งปัญหาความเชื่อส่วนตัวได้ลามกลายเป็นปัญหาสังคม และได้เผชิญหน้ากับศาสนา หรือสร้างฟิตนะฮฺ (ความเสื่อมทราม) ให้เกิดขึ้นทางความคิดของสังคมส่วนรวม และบังเกิดความลังเลใจในการตัดสินใจระหว่างสิ่งถูกกับสิ่งผิด, เท่ากับเขากลายเป็นอาชญากรของสังคม ดังนั้น จำเป็นต้องแบกรับบทลงโทษที่ได้ก่อขึ้น บทลงโทษของบุคคลที่ออกนอกศาสนาโดยกำเนิด ก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่าเขาเป็นอาชญากร กระทำความผิดให้เกิดแก่สังคม มิใช่เพราะความผิดส่วนตัว ด้วยเหตุนี้เอง การลงโทษบุคคลที่ตกศาสนา จะไม่ครอบคลุมถึงบุคคลที่ออกนอกศาสนาไปแล้ว, แต่ไม่ได้เปิดเผยให้เกิดความเสียหายแก่คนอื่น อีกนัยหนึ่ง, สมมุติว่าบุคคลหนึ่งได้พยายามทุ่มเทค้นคว้าหาความจริงด้วยตัวเองว่า ฉะนั้น การตกศาสนาของเขาย่อมได้รับการอภัย ณ อัลลอฮฺ, แน่นอนว่า บุคคลเช่นนี้ในแง่ของบทบัญญัติส่วนตัวเขามิได้กระทำความผิดแต่อย่างใด, แต่ถ้าเขาเพิกเฉยต่อการค้นคว้าหาความจริงละก็ ในแง่ของบทบัญญัติที่ว่าด้วยเรื่องส่วนตัวถือว่า เขาได้กระทำผิด, ส่วนการตกศาสนานั้นไม่ถือว่าเป็นความผิดส่วนตัว เนื่องจากการออกนอกศาสนานั้น เท่ากับได้ทำลายจิตวิญญาณศาสนาของสังคมไปจนหมดสิ้นแล้ว นอกจากนั้นยังได้ทำลายและเป็นการคุกคามความสำรวมของประชาชน ...
  • จริงหรือไม่ที่อิมามฮุเซน (อ.) สมรสกับชะฮ์รบานู?
    9001 تاريخ بزرگان 2554/12/19
    เกี่ยวกับประเด็นการสมรสระหว่างอิมามฮุเซน (อ.) กับชะฮ์รบานูซึ่งเป็นเชลยศึกของกองทัพมุสลิมนั้นมีหลายทัศนะด้วยกันเนื่องจากบางรายงานเล่าว่าหญิงคนนี้ถูกจับเป็นเชลยในสมัยการปกครองของอุมัรบ้างกล่าวว่าสมัยอุษมานอีกทั้งยังระบุนามของท่านและบิดาของท่านไว้แตกต่างกันด้วยเหตุนี้ยากที่จะฟันธงว่าภรรยาขอของอิมามฮุเซน (อ.) และมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน(อ.) เป็นชาวอิหร่าน ( อีกทั้งการที่มีนามว่าชะฮ์รบานู) ...
  • จนถึงปัจจุบันมีผู้ใดบ้างได้ยืนหยัดต่อสู้กับชัยฎอน และแนวทางการต่อสู้ของเขาเป็นอย่างไร?
    8219 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/04/07
    ตามทัศนะของอัลกุรอาน ชัยฏอนไม่อาจมีอิทธิพลเหนือปวงบ่าวที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ ปวงบ่าวที่เป็น มุคลิซีน หมายถึง บุคคลที่ได้ไปถึงยังตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งชัยฏอนไม่อาจมีอำนาจเหนือพวกเขาได้ แน่นอน การต่อสู้กับชัยฏอนจำเป็นต้องมีสื่อและอุปกรณ์จำเป็นประกอบการต่อสู้ ซึ่งการมีอุปกรณ์เหล่านี้สามารถยืนหยัดต่อสู้กับชัยฏอนได้ และจะได้รับชัยชนะในการต่อสู้ ซึ่งจะขอยกตัวอย่างอุปกรณ์บางอย่างเหล่านั้น ได้แก่ 1.อีมาน : อัลกุรอานกะรีมกล่าวว่า อีมาน คือ ตัวการหลักที่ขัดขวางการมีอิทธิพลของชัยฏอนเหนือผู้ศรัทธา 2. ตะวักกัล : อีกหนึ่งตัวการที่สามารถเอาชนะชัยฏอนและพลพรรคได้ คือการตะวักกัลป์ มอบหมายภารกิจแด่อัลลอฮฺ 3. อิสติอาซะฮฺ : หมายถึงการขอความช่วยเหลือ หรือสถานพักพิงต่ออัลลอฮฺ 4. การรำลึกถึงอัลลอฮฺ : การรำลึกถึงอัลลอฮฺ จะให้ความสว่างแก่มนุษย์ ...
  • การจ่ายคุมซ์เป็นทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกใช่หรือไม่?
    5441 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ดั่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคุมซ์คือหนึ่งในการบริจาคทรัพย์อันเป็นวาญิบสำคัญในอิสลามเป็นหนึ่งในหลักการอิสลามและเป็นอิบาดะฮฺด้วยด้วยสาเหตุนี้เองจำเป็นต้องเนียต (ตั้งเจตคติ) เพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)ทรัพย์สินและเงินทุนต่างๆที่ต้องจ่ายคุมซ์ถ้าหากจ่ายคุมซ์ไปแล้วเพียงครั้งเดียวไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีก็ตามแต่ถ้าเป็นทรัพย์ที่เติบโตหรือมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมทุนเดิมไม่ต้องจ่ายคุมซ์แต่ส่วนที่เป็นผลกำไรงอกเงยอออกมาวาญิบต้องจ่ายคุมซ์[1][1]  เตาฏีฮุลมะซาอิลมะริญิอฺ
  • มีรายงานฮะดีซจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) เกี่ยวกับการถือศีลอดในวันอาชูรอหรือไม่? และศีลอดนี้ถือเป็นศีลอดมุสตะฮับด้วยหรือไม่?
    6800 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    ตาราฮะดีซที่เชื่อถือได้ของฝ่ายชีอะฮฺ, ไม่มีรายงานฮะดีซทำนองนี้ปรากฏให้เห็นทีว่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) กล่าวว่า, การถือศีลอดในวันอาชูรอเป็นมุสตะฮับ,
  • อัลลอฮฺ ทรงพึงพอพระทัยผู้ใด? บุคคลใดที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัย, ผู้นั้นจะได้เป็นเจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความโปรดปรานหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว โองการที่ 28 บทอันบิยาอฺที่กล่าวว่า : และพวกเขาจะมิให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใด, นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย จะไม่ขัดแย้งกันดอกหรือ? อีกนัยหนึ่ง : เจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความพึงพอพระทัย จะเข้ากันได้อย่างไรกับชะฟาอะฮฺ?
    9266 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/10/22
    อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงพึงพอพระทัยบุคคลที่มีศรัทธาและพึงปฏิบัติคุณงามความดี, เพียงแต่ว่าความศรัทธาและคุณงามความดีนั้นมีทั้งเข้มแข็งมั่นคงและอ่อนแอ อีกทั้งมีระดับชั้นที่แตกต่างกันออกไป, ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขาจึงแตกต่างกันออกไปด้วยสรวงสวรรค์ ก็เช่นเดียวกันถูกแบ่งไปตามระดับชั้นของความศรัทธา คุณภาพ และปริมาณของคุณงามความดีที่ชาวสวรรค์ได้สั่งสม ซึ่งระดับชั้นของสวรรค์ก็มีความแตกต่างกันออกไป ส่วน “สวรรค์ชั้นริฎวาน” คือสวรรค์ชั้นสูงที่สุด เจ้าของสวรรค์ชั้นนี้ได้แก่ บรรดาศาสดาทั้งหลาย, บรรดาตัวแทนและบรรดาหมู่มิตรของอัลลอฮฺ (ซบ.), ตลอดจนบรรดาผู้ใกล้ชิดอัลลอฮฺ ชนกลุ่มนี้ไม่ต้องการชะฟาอะฮฺแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาคือผู้ให้ชะฟาอะฮฺ และยังเป็นสักขีพยานในวันแห่งการฟื้นคืนชีพอีกต่างหาก. ด้วยเหตุนี้เอง วัตถุประสงค์ของประโยคที่ว่า “มะนิรตะฎอ” (ผู้ที่ได้รับความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮฺ) ในโองการอัลกุรอานจึงไม่ใช่บุคคลที่เป็นเจ้าของสวรรค์ชั้นริฏวาน เพื่อว่าระหว่างตำแหน่งชั้นของพวกเขากับโองการจะได้ไม่ขัดแย้งกันอัลกุรอาน โองการดังกล่าวอยู่ในฐานะของการขจัดความสงสัยและความเข้าใจผิด ของบรรดาผู้ปฏิเสธที่วางอยู่บนความเข้าใจที่ว่า มลาอิกะฮฺจะให้ชะฟาอะฮฺแก่พวกเขา, เนื่องจากมลาอิกะฮฺคือเจ้าหน้าที่ของอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขาจะไม่ปฏิบัติสิ่งใดที่ขัดแย้งต่อบัญชาของพระองค์, พวกเขาจะให้ชะฟาอะฮฺแก่บุคคลผู้ซึ่ง ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59740 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57101 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41905 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38767 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38602 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33725 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27699 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27532 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27355 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25417 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...