การค้นหาขั้นสูง
ผู้เยี่ยมชม
6104
อัปเดตเกี่ยวกับ: 2550/10/08
 
รหัสในเว็บไซต์ fa1580 รหัสสำเนา 26989
คำถามอย่างย่อ
จะมีวิธีการสนับสนุนอย่างไรบ้าง เพื่อให้บุตรหลานรักการอิบาดะฮฺ?
คำถาม
บุตรชายของดิฉันมีความอ่อนแอมากในเรื่องอิบาดะฮฺ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนะมาซ, บางเขาได้ทำนะมาซเพราะคำอ้อนวอนของบิดา, แต่บางครั้งแม้บิดาจะอยู่ด้วยแต่เขาก็ไม่นะมาซ ซึ่งดิฉันเป็นห่วงอนาคตของเขามาก ตอนนี้เขามีอายุ 23 ปี ซึ่งดิฉันเพิ่งจะหมั้นหมายผู้หญิงให้เขา ดังนั้น อยากทราบว่าหน้าที่ของฉัน ในฐานะมารดาคืออะไร? ถ้าหากบิดาของเขารู้ว่า เขาตั้งใจไม่นะมาซ เขาจะต้องโกรธและไล่ออกจากบ้านอย่างแน่นอน และสิ่งนี้ก็ไม่อาจปกปิดเขาได้ ซึ่งเขาพอรู้บ้างแล้ว ฉันรู้สึกหนักใจและเป็นห่วงอย่างยิ่ง โปรดให้คำแนะนำด้วย
คำตอบโดยสังเขป

สำหรับการส่งเสริมและการสนับสนุนให้ปฏิบัติข้อบังคับของศาสนา เบื้องต้นสิ่งแรกที่จะต้องทำคือการวิเคราะห์ความคิดของเขา หลังจากนั้นจึงจะหาวิธีแก้ไขและส่งเสริมต่อไป, ทัศนะของบุคคลและความเชื่อที่มีต่ออัลลอฮฺ, โลกทัศน์ของพระเจ้า,มนุษย์, วันฟื้นคืนชีพ และ...  เหล่านี้มีผลโดยตรงต่อความเชื่อ เพราะจะช่วยทำให้เขามั่นคงต่อการอิบาดะฮฺ และการปฏิบัติข้อบังคับต่างๆ และความประพฤติ การโน้มน้าวทางความเชื่อ การมีวิสัยทัศน์ที่ดี และการมีความคิดดีกับฝ่ายตรงข้าม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรหลาน)  ดังนั้น เพื่อก่อให้เกิดมรรคผลในทางที่ดี การอบรมสั่งสอนและการส่งเสริม จึงจำเป็นต้องเริ่มจากความคิดของเขาก่อน แน่นอน การที่บิดามารดาไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุตร โปรแกรมการอบรมสั่งสอนย่อมไม่ได้ผล หรือล้มเหลวแน่นอน

โดยการใช้วิธีปฏิบัติที่เหมาะสมด้านการอบรม สามารถสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบุตรหลานของตนได้ บางวิธีการเป็นวิธีที่มีความจำเป็นและเหมาะสม ดังเช่น :

1 ให้เกียรติบุตร: ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวว่า "จงให้เกียรติลูกๆ ของตนและจงอบรมสั่งสอนให้ดี"

2 รู้ถึงความต้องการของเด็กและเยาวชนในช่วงวัยรุ่น (เช่นความเป็นอิสระ, อารมณ์, ฯลฯ) เป็นการรู้จักทั่วไปถึงสภาพจิตใจอันเฉพาะของลูกแต่ละคน และพยายามจัดหาสิ่งพวกเขารอคอย และความต้องการอันเป็นที่ยอมรับทางชัรอียฺ ในช่วงวัยรุ่นของพวกเขา

3 เป็นจุดสำคัญของสภาพแวดล้อมทางครอบครัว ให้เป็นวัฒนธรรมความรัก ความสงบ ความมั่นคงทางความรู้สึก

4 เห็นคุณค่าของความสำเร็จ และให้ความชื่นชมตามความเหมาะสม

5 ประกาศความไม่พอใจ เมื่อเขาได้กระทำการที่น่ารังเกียจ (แม้จะฝืนใจทำในบางครั้งก็ตาม)

6 เสนอความต้องการของตน ในลักษณะของการเรียกร้องของพวกเขา ให้คำแนะนำ หรือผ่านคนที่มีอิทธิพลต่อพวกเขา เช่น คู่หมั้น

7 หลีกเลี่ยงการสั่งหรือห้ามมากเกินไปและซ้ำๆ กัน

คำตอบเชิงรายละเอียด

การอบรมสั่งสอนบุตรถือเป็นภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของบิดามารดาร และมีวิธีการต่างๆ ที่ละเอียดอ่อนมากมาย ซึ่งจำเป็นต้องเอาใจใส่ต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างดี และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการศึกษาให้ดีและเร็วขึ้น ในกรณีที่เป็นไปได้ให้ปรึกษาศูนย์ให้คำแนะนำที่เชื่อถือได้ (เช่น ศูนย์ให้คำแนะนำทางวัฒนธรรมและศาสนา) เพื่ออย่างน้อยให้เราได้คุ้นเคยกับคำแนะนำต่างๆ ของผู้ให้คำปรึกษาด้านศาสนา ขณะเดียวกันจะได้เรียนรู้ทีจะใช้ประโยชน์ด้านจิตวิทยา และการอบรมสั่งสอน

แต่ก่อนอื่นใดสิ่งจำเป็นต้องเอาใจใส่ก่อนคือ แนวความคิดของลูกๆ แนวคิดด้านความศรัทธาของบุคคลเกี่ยวกับพระเจ้า โลกแห่งการมีอยู่ มนุษย์ วันฟื้นคืนชีพ และ ...เหล่านี้ล้วนมีผลโดยตรงกับความศรัทธา และเป็นรากฐานสำคัญในการยืนหยัดของเขา ต่อปฏิบัติหน้าที่อันเป็นข้อบังคับ การปฏิบัติ และความประพฤติ[1]

ตรงนี้จะขอนำเสนอวิธีการอบรมสั่งสอนที่ถูกต้อง บางวิธีกล่าวคือ มนุษย์ทุกคนนั้นมีคุณลักษณะพิเศษที่แตกต่างกัน ดังนั้น จำเป็นที่เราต้องรู้จักคุณลักษณะพิเศษเหล่านั้น และพยายามสร้างปฏิสัมพันธ์กับคุณลักษณะพิเศษของเขา ในทุกด้านและทุกขั้นตอนการดำเนินชีวิตของเขา เพราะกี่มากน้อยแล้วที่บางคนได้นำวิธีการอบรมสั่งสอนสมัยเด็ก มาใช้ช่วงที่เขาเติบโตเป็นวัยรุ่น ซึ่งนอกจากจะไม่เหมาะสมและไม่เข้ากันแล้ว ยังสร้างปัญหาอีกต่างหาก

คุณสมบัติบางประการช่วงวัยรุ่นและช่วงเป็นเยาวชน ประกอบด้วย[2]

ก) การลดความสำคัญของรูปแบบ และพฤติกรรมในครอบครัว แต่จะยอมรับมากกว่าจากเพื่อน หรือผู้ที่อยู่ในวัยเดียวกัน ในเรื่องเสื้อผ้า การแสดงออก ทรงผม และ ...หรือแม้แต่แนวโน้มด้านวัฒนธรรมและศาสนา ซึ่งบางครั้งพวกเขาก็ยอมรับเรื่องศาสนา ซึ่งในหมู่เพื่อนด้วยกันแล้วถือว่าเป็นสิ่งมีค่ายิ่ง[3]

ข) การสื่อสารทางสังคมนอกบ้านบ่อยครั้ง กับเพื่อน และกิจกรรมต่างๆ ทางสังคม กีฬา การเมือง วัฒนธรรม ศาสนา และ ...ซึ่งในที่สุดแล้วจะทำให้เวลาของเขาเหลือน้อย ที่จะอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว และในบางครั้งบิดามารดาก็มีความรู้สึกว่า บุตรกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับตน[4]

ค) รักความเป็นอิสระส่วนตัว และปล่อยวางข้อจำกัดของบุคลิกภาพในวัยเด็ก และเข้าร่วมกับกลุ่มเด็กโต ซึ่งในกรณีที่ไม่ประสบความสำเร็จ ในทิศทางนี้โดยปรกติจะประท้วงด้วยการแสดงความดื้อรั้น และแสดงความอวดดีออกมา นอกจากนั้นจะกระทำในภารกิจที่ไม่ปรกติธรรม จะแสดงพฤติกรรมไม่ดีใจร้อน และในความเป็นจริงจะพูดด้วยภาษาของตนว่า จงให้เกียรติฉันบ้าง เคารพในความเป็นส่วนตัว และความอิสระของฉัน[5]

จ) ไม่ให้เกียรติ ความประพฤติไม่เหมาะสม การตำหนิ และการดูถูก สิ่งเหล่านี้จะนำเขาไปสู่การมีความประพฤติไม่ดี การคิดแก้แค้น และบางครั้งจะนำไปสู่อาชญากรรมอย่างอื่นด้วยซ้ำไป[6] ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า “ความสุดโต่งในการตำหนิและการต่อต้านและความดื้อรั้น (บุคลที่สอง) จะเป็นชนวนไปสู่หนทางไม่ดี”[7]ท่านอิมามได้กล่าวในอีกที่หนึ่งว่า “จงเหลีกเลี่ยงจากการตำหนิซ้ำซาก เพราว่าสิ่งที่พวกเขาตำหนิ ผู้กระทำผิดก็จะทำการงานที่ไม่ดีซ้ำซากอยู่เช่นนั้น (อีกด้านหนึ่ง) การตำหนิจะทำลายชื่อเสียงและลดคุณค่าตัวเอง”[8]

ฉ) การอบรมเด็กและโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าคนอื่น เท่ากับทำให้เขาอับอายขายหน้า และเป็นการทำลายบุคลิกภาพ ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า “การอบรมต่อหน้าคนอื่นคือ ทำลายและบทขยี้บุคลิกของเขา”[9]

สำหรับการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับบุตรของตน สิ่งสมควรคือ

1) ในการอบรมสั่งสอนควรเอาใจใส่ในแบบฉบับ และรายงานของบรรดามะอฺซูม (อ.) ทีสำคัญควรสนใจเป็นพิเศษด้วย ด้วยเหตุนี้ เราจะต้องพิจารณาอย่างถูกต้องว่า บรรดามะอฺซูม (อ.) มีปฏิสัมพันธ์อย่างไรกับเยาวชน

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวเกี่ยวกับช่วงวัยรุ่นว่า “เนื่องจากความไม่รู้ของคนหนุ่มสาว ดังนั้น ความรู้น้อยและการไม่รู้ของเขาจึงถูกยกเว้น”[10]

เมื่อพิจารณาคำกล่าวของท่านอิมาม และคำสั่งอื่นๆ ของท่าน อันเป็นสาเหตุนำไปสู่ความอดทนมากขึ้น และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ของหนุ่มสาวขณะที่พวกเขาทำความผิดพลาด

2) ในการอบรม จะต้องหลีกเลี่ยงการอธิบาย เรื่องการหมดหวังในด้านความเชื่อทางศาสนา แต่จำเป็นต้องกล่าวถึงความเมตตา ความปรานี และความเอ็นดูของพระเจ้าที่มีต่อปวงบ่าวทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวัยรุ่นและคนหนุ่มสาว นักจิตวิทยาจำนวนมาก เช่น โรเจอร์ส และคนอื่นๆ เชื่อว่าพฤติกรรมได้รับอิทธิพลมาจากอารมณ์ความรู้สึก ทัศนะคติ การรับรู้ และความอารมณ์ความรู้สึกคือ ตัวกำหนดพฤติกรรม ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากผู้สอนศาสนา นำเสนอเฉพาะในรูปแบบที่ทำให้เกิดความหวาดกลัว สิ้นหวัง และการปฏิเสธ ดังนั้น เป้าหมายอันสูงส่งและมีความจำเริญยิ่งของศาสนา จะไม่มีวันบรรลุเด็ดขาด[11] ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า “ความชอบนั้นดีกว่าความกลัวมากมายนัก”[12]

3) ด้วยความรัก ความสนใจ และการให้ของขวัญในโอกาสต่างๆ ที่เหมาะสม เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้หัวใจของเด็กมีแนวโน้มมายังให้มากที่สุด เพื่อชดเชยการขาดหายไปของความรักของตน ซึ่งพวกเขาจะแทนที่ด้วยเพื่อนนอกบ้านที่ไม่ดี ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) กล่าวถึงการให้เกียรติต่อบุตรว่า “จงให้เกียรติบุตรของตน และจงอบรมสั่งสอนให้ดีที่สุด”[13]

4)จงหลีกเลี่ยงการมีนิสัยที่ไม่ดีและความรุนแรง ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “การมีนิสัยไม่ดีจะทำให้ทั้งญาติและมิตรหนีออกห่าง คนแปลกหน้าก็จะไม่สนใจต่อเขา”[14]

5) พยายามลืมเลือนการกระทำบางอย่าง อันเป็นความผิดพลาดของพวกเขา และแสร้งทำเป็นไม่มีข้อมูลในบางเรื่องของความผิดพลาดของเขา เนื่องจากถ้าไม่กระทำเช่นนี้แล้ว ความละอาย และความยับยั้งชั่งใจของเขา ที่มีมายังท่านจะลดน้อยลงไป ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า “บุคคลที่ชาญฉลาดครึ่งหนึ่งของเขาคือ ความอดทนและขันติ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือ การละลืมไม่ใส่ใจ”[15]

6) หลีกเลี่ยงการแนะนำโดยตรงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และพยายามเสนอความต้องการของตนในทางอ้อม ท่านอิมามริฎอ (อ.) กล่าวว่า “ฉันได้ยินจากบิดาของฉันว่า การอบรมอย่างหยาบคาย ยากที่คนอื่นจะยอมรับ”[16]

7.การยึดมั่นและความจริงใจที่จะเข้าร่วมกับครอบครัว (โดยเฉพาะบิดาผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สมาชิกครอบครัวทุกคนอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะจะทำให้เกิดความรัก ความเมตตา และความใกล้ชิดกันในครอบครัว

8) การเข้ากันโดยสมบูรณ์ ระหว่างคำและการกระทำของผู้เป็นพ่อแม่และครูผู้ให้การอบรม เนื่องจากจำเป็นอย่างยิ่งสิ่งที่เราต้องการจากคนอื่น ตัวเราเองต้องมั่นคงต่อสิ่งนั้น ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า “จงชวนเชิญประชาชนไปสู่การทำความดี ที่นอกเหนือจากคำพูด (ด้วยการกระทำ)”[17]

9) หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาเชิงของการบังคับ ข่มขู่ แต่จงใช้ภาษในเชิงการวิเคราะห์ สร้างความเข้าใจ และอธิบายบทบัญญัติด้วยวิทยปัญญา เนื่องจากถ้าหากไม่ได้อธิบายอิสลามด้วยเหตุผล ย่อมมีผลกระทบในทางเสียหายแน่นอน และในที่สุดจะเป้นสาเหตุทำให้เยาวชนหลีกหนีออกจากศาสนา ดังเช่นที่ชาวคริสเตียนได้หนีห่างออกจากอีซามะซีฮฺ ดังนั้น ถ้าไม่มีเหตุผลในการเชิญชวน พวกเขาก็จะมีแนวโน้มหนีออกจากอิสลามศาสนาของพวกเขา[18]

10) ความพยายามที่สมเหตุสมผล ที่จะสร้างบรรยากาศให้เขาเข้าร่วมในสถานที่อันมีพิธีกรรมทางศาสนา (โดยปราศจากความบิดเบือน หรือการกระทำที่ไม่มีเหตุผล) การได้พบกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จทางศาสนา สิ่งเหล่านี้จะทำให้ความมุ่งมั่นทางศาสนาของเขาแข็งแกร่งขึ้น หรือท่านจัดพิธีการทางศาสนาลักษณะนี้ในบ้านของท่านเอง และมอบหมายให้เขารับผิดชอบบางหน้าที่ แน่นอน สิ่งเหล่านี้ย่อมมีผลต่อตัวเขา

11) สุดท้ายของการบำบัดคือ การสร้างความเร้าร้อน[19] ถ้าหากวิธีการต่างๆ ได้ปฏิบัติไประยะหนึ่งแล้ว ไม่บังเกิดผล หรือไม่ได้รับความสนใจ เวลานั้นสามารถใช้วิธีบังคับ หรือแสดงความไม่พอใจตอบโต้ แต่ต้องเข้าใจว่าวิธีการนี้ก็เหมือนกับวิธีการอื่น กล่าวคือต้องไม่สุดโต่งหรือเลยเถิดในการปฏิบัติ เนื่องจากจะได้รับผลในทางตรงกันข้าม อีกด้านหนึ่งตราบที่ไม่มั่นใจว่าวิธีการนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์จริง ไม่ขอแนะนำให้ใช้วิธีนี้เด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เอง จะเห็นว่าการขับไล่บุตรออกจากบ้าน มิใช่การกระทำที่ดีแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามผู้ให้การอบรมสั่งสอน โดยเฉพาะบิดามารดา ถ้าหากท่านไม่เคยเพิกเฉย ไม่เคยละเลย ไม่เคยที่จะไม่เอาใจใส่ดูแล กระนั้นสิ่งที่ท่านกระทำก็ยังไม่บังเกิดผลเท่าที่ควร ก็จงอย่าตำหนิตนเอง เนื่องจากมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้มีอิสระ การตัดสินใจของเขาก็มีอิสระ[20] และแต่ละคนต้องตอบการกระทำของตนเอง

 


[1] ซีดีวิชาการ โพรเซมอน

[2] ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ การเจริญเติบโตด้านจิตวิทยา

[3] สถาบันอิมามโคมัยนี, ตักวียัต เนซอม คอนนะวอเดะฮฺ วะออซีบ เชนอซี, เล่ม 1, หน้า 40

[4] ฟัลซะเฟะ มุฮัมมัด ตะกี โกฟตอร ฟัลซะเฟะ, โบโซรกซอน วะ ญะวอน อัซ นะซัร อัฟฆอร วะตะมอยุลลอต, เล่ม 1, หน้า 38

[5] ฟัลซะเฟะ มุฮัมมัด ตะกี โกฟตอร ฟัลซะเฟะ, โบโซรกซอน วะ ญะวอน อัซ นะซัร อัฟฆอร วะตะมอยุลลอต, เล่ม 1, หน้า 55

[6] ฟัลซะเฟะ มุฮัมมัด ตะกี โกฟตอร ฟัลซะเฟะ, โบโซรกซอน วะ ญะวอน อัซ นะซัร อัฟฆอร วะตะมอยุลลอต, เล่ม 1, หน้า 55

[7] ตะฮฺฟุลอุกูล, หน้า 84

[8] ฆอรรอรุลฮิกัม,หน้า 278

[9] อิบนุอบิลฮะดีด, ชัรฮฺนุญุลบะลาเฆาะฮฺ, เล่ม 2, หน้า 341, «النصح فی الملاء تقریع»

[10] ฆอรรอรุลฮิกัม,หน้า 76 «جهل الشباب معذور و علمه محصور»

[11] ตักวียัตเนซอมคอนนะวอเดะ, เล่ม 1, หน้า 266.

[12] เชคกุลัยนียฺ อัลกาฟียฺ เล่ม 8, หน้า 128.

[13] มุสตัดร็อกวะซาอิล เล่ม 15, หน้า 168  «اکرموا اولادکم واحسنوا آدابهم»

[14] ฆอรรอรุลฮิกัม,หน้า 435.

[15] มุฮัมมัดดี เรย์ ชะฮฺรี, มีซานอัลฮิกมะฮฺ ฮะดีซ 14915.

[16] กัชฟุลฆอมมะฮฺ, เล่ม 3, หน้า 84.

[17] มุฮัซดิซนูรียฺ, มุสตัดร็อกวะซาอิล เล่ม 8, หน้า 456.

[18] ดร.ซายิดี, ดีนกุรีซียฺ เฌะรอ ดีน กะรอียฺ เฌะซอน, หน้า 226.

[19] อัลลามะฮฺ มัจญฺลิซซี, บิฮารุลอันวาร เล่ม 31, หน้า 503.

[20] อินซาน, 3, แท้จริง เราได้ชี้แนะแนวทางแก่เขาแล้ว บางคนก็กตัญญู และบางคนก็เนรคุณ

 

แปลคำถามภาษาต่างๆ
ความเห็น
จำนวนความเห็น 0
กรุณาป้อนค่า
ตัวอย่าง : Yourname@YourDomane.ext
กรุณาป้อนค่า
<< ลากฉัน
กรุณากรอกจำนวนที่ถูกต้องของ รหัสรักษาความปลอดภัย

หมวดหมู่

คำถามสุ่ม

  • เนื่องจากชาวสวรรค์ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาว เหตุใดท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.)จึงได้เป็นประมุขทั้งที่ยังมีบรรดานบีและบรรดาอิมามท่านอื่นๆอยู่?
    8518 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/12/01
    ท่านอิมามฮะซันและอิมามฮุเซน(อ.) ผู้เป็นหลานรักของท่านนบี(ซ.ล.)นั้นมีสถานะภาพสูงกว่าชาวสวรรค์ทั่วไปอย่างไรก็ดีเนื่องจากชาวสวรรค์ทุกท่านล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาวบารมีดังกล่าวจึงเจาะจงชาวสวรรค์ที่เป็นชะฮีดหรือเสียชีวิตในวัยหนุ่มสาวเป็นพิเศษซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่ขัดกับบารมีของบรรดานบีและบรรดาเอาลิยาอ์ของอัลลอฮ์ท่านอื่นๆอย่างแน่นอนอนึ่งเมื่อพิจารณาเบาะแสต่างๆจะพบว่าฮะดีษดังกล่าวสื่อถึงความเป็นประมุขที่มีต่อชาวสวรรค์ทั่วไปมิได้เป็นประมุขของอิมามท่านอื่นๆหรือบรรดานบี ...
  • หากประสบกับภาวะน้ำแพง จะอาบน้ำยกหะดัสใหญ่อย่างไร?
    7610 สิทธิและกฎหมาย 2554/08/08
    โดยปกติแล้วการทำอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ถือเป็นมุสตะฮับแต่จะเป็นวาญิบต่อเมื่อต้องทำนมาซฟัรดูหรืออิบาดะฮ์อื่นๆ[1]แต่ถ้าหากน้ำที่ใช้เพื่ออาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั้นมีราคาสูงเสียจนอาจสร้างปัญหาแก่คุณในแง่ทุนทรัพย์ในกรณีเช่นนี้การหาน้ำและการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ก็ไม่เป็นวาญิบอีกต่อไปและสามารถทำตะยัมมุมแทนได้[2]ควรใช้น้ำสำหรับการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่เท่าที่ความสามารถของท่านจะอำนวยฉะนั้นการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่กับน้ำนั้นจะเป็นวาญิบเฉพาะกรณีที่เงื่อนไขด้านน้ำเอื้ออำนวยเท่านั้นอนึ่งหากในหนึ่งวันท่านสามารถอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ได้เพียงครั้งเดียวท่านสามารถเลื่อนการนมาซซุฮริ-อัซริออกไปและอาบน้ำยกหะดัสใหญ่เพื่อให้สามารถทำนมาซซุฮ์ริ, อัซริ, มักริบและอีชาด้วยกับการอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ครั้งเดียวได้และหากท่านสามารถอาบน้ำยกหะดัสใหญ่ได้๒ครั้งให้อาบน้ำยกหะดัสใหญ่สำหรับนมาซซุบฮิหนึ่งครั้งและทำอาบน้ำยกหะดัสใหญ่สำหรับนมาซ๔เวลาที่เหลือดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น (โดยเลื่อนการนมาซซุฮริและอัศริออกไปจนใกล้ถึงเวลานมาซมักริบและอิชา)[1]ประมวลปัญหาศาสนาโดยบรรดามัรญะอ์,เล่ม 1,
  • ถ้าหากมุอาวิยะฮฺเป็นกาเฟร แล้วทำไมท่านอิมามฮะซัน (อ.) ต้องทำสนธิสัญญาสันติภาพกับเขาด้วย แล้วยังยกตำแหน่งเคาะลิฟะฮฺให้เขา?
    7507 ชีวประวัติมะอฺซูม (อ.) 2555/08/22
    มุอาวิยะฮฺ ตามคำยืนยันของตำราฝ่ายซุนนียฺ เขาได้ประพฤติสิ่งที่ขัดแย้งกับชัรอียฺมากมาย อีกทั้งได้สร้างบิดอะฮฺให้เกิดในสังคมอีกด้วย เช่น ดื่มสุรา สร้างบิดอะฮฺโดยให้มีอะซานในนะมาซอีดทั้งสอง ทำนะมาซญุมุอะฮฺในวันพุธ และ ...ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีช่องว่างที่จะมีความอดทนและอะลุ่มอล่วยกับเขาได้อีกต่อไป อีกด้านหนึ่งประวัติศาสตร์ได้ยืนยันไว้อย่างชัดเจน การทำสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างท่านอิมามฮะซัน (อ.) กับมุอาวิยะฮฺ มิได้เกิดขึ้นบนความยินยอม ทว่าได้เกิดขึ้นหลังจากมุอาวิยะฮฺได้สร้างความเสื่อมเสีย และความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างมากมาย จนกระทั่งว่ามุอาวิยะฮฺได้วางแผนฆ่าบรรดาชีอะฮฺ และเหล่าสหายจำนวนน้อยนิดของท่านอิมามฮะซัน (อ.) (ซึ่งเป็นการฆ่าให้ตายอย่างไร้ประโยชน์) ท่านอิมาม (อ.) ได้ยอมรับสัญญาสันติภาพก็เพื่อปกปักรักษาชีวิตของผู้ศรัทธา และศาสนาเอาไว้ ดั่งที่ท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ได้รักษาศาสนาและชีวิตของบรรดามุสลิมเอาไว้ ด้วยการทำสนธิสัญญาสันติภาพฮุดัยบียะฮฺ กับบรรดามุชริกทั้งหลายในสมัยนั้น ซึ่งมิได้ขัดแย้งกับการเป็นผู้บริสุทธิ์ของท่านศาสดาแต่อย่างใด ดังนั้น การทำสนธิสัญญาสันติภาพลักษณะนี้ (บังคับให้ต้องทำ) เพื่อรักษาศาสนาและชีวิตของมุสลิม ย่อมไม่ขัดแย้งกับความบริสุทธิ์ของอิมามแต่อย่างใด ...
  • ก่อนการปรากฏกายของท่านอิมามซะมาน (อ.) จะมีมัรญิอฺตักลีด 12 คน ในชีอะฮฺ ในอิสลามเกิดขึ้นใหม่ แต่หลังจากอิมามมะฮฺดียฺ (อ.) ปรากฏกายแล้ว พวกเขาจถูกสังหาร 11 คน จะมีชีวิตเหลืออยู่เพียงแค่คนเดียว? โปรดแจ้งแจงประเด็นนี้ด้วย
    6797 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/11/21
    จำคำถามที่กล่าวมามีความเป็นไปได้ 2 กรณี. หนึ่งมัรญิอฺตักลีด 11 คน
  • ถ้าหากมุสลิมคนหนึ่งหลังจากการค้นคว้าแล้วได้ยอมรับศาสนาคริสต์ ถือว่าตกศาสนาโดยกำเนิด และต้องประหารชีวิตหรือไม่?
    10081 ปรัชญาของศาสนา 2555/04/07
    แม้ว่าศาสนาอิสลามอันชัดแจ้งได้เชิญชวนมนุษย์ทั้งหมดไปสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ, แต่ก็มิได้หมายความว่าบังคับให้ทุกคนต้องยอมรับเช่นนั้น, เนื่องจากอีมานและความเชื่อศรัทธาต้องไม่เกิดจากการบีบบังคับ, แน่นอน แต่สิ่งนี้ก็มิได้หมายความว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ขัดแย้งต่อรากหลักของศาสนา, เนื่องจากรากหลักของอิสลามวางอยู่บน หลักความเป็นเอกภาพของพระเจ้า และปฏิเสธการตั้งภาคีเทียบเทียมโดยสิ้นเชิง, และในทัศนะของอิสลามบุคคลใดที่ยอมรับอิสลามแล้ว และเจริญเติบโตขึ้นมาในครอบครัวอิสลาม, ต่อมาเขาได้ปฏิเสธรากศรัทธาของอิสลาม และเป็นปรปักษ์ซึ่งปัญหาความเชื่อส่วนตัวได้ลามกลายเป็นปัญหาสังคม และได้เผชิญหน้ากับศาสนา หรือสร้างฟิตนะฮฺ (ความเสื่อมทราม) ให้เกิดขึ้นทางความคิดของสังคมส่วนรวม และบังเกิดความลังเลใจในการตัดสินใจระหว่างสิ่งถูกกับสิ่งผิด, เท่ากับเขากลายเป็นอาชญากรของสังคม ดังนั้น จำเป็นต้องแบกรับบทลงโทษที่ได้ก่อขึ้น บทลงโทษของบุคคลที่ออกนอกศาสนาโดยกำเนิด ก็เนื่องจากเหตุผลที่ว่าเขาเป็นอาชญากร กระทำความผิดให้เกิดแก่สังคม มิใช่เพราะความผิดส่วนตัว ด้วยเหตุนี้เอง การลงโทษบุคคลที่ตกศาสนา จะไม่ครอบคลุมถึงบุคคลที่ออกนอกศาสนาไปแล้ว, แต่ไม่ได้เปิดเผยให้เกิดความเสียหายแก่คนอื่น อีกนัยหนึ่ง, สมมุติว่าบุคคลหนึ่งได้พยายามทุ่มเทค้นคว้าหาความจริงด้วยตัวเองว่า ฉะนั้น การตกศาสนาของเขาย่อมได้รับการอภัย ณ อัลลอฮฺ, แน่นอนว่า บุคคลเช่นนี้ในแง่ของบทบัญญัติส่วนตัวเขามิได้กระทำความผิดแต่อย่างใด, แต่ถ้าเขาเพิกเฉยต่อการค้นคว้าหาความจริงละก็ ในแง่ของบทบัญญัติที่ว่าด้วยเรื่องส่วนตัวถือว่า เขาได้กระทำผิด, ส่วนการตกศาสนานั้นไม่ถือว่าเป็นความผิดส่วนตัว เนื่องจากการออกนอกศาสนานั้น เท่ากับได้ทำลายจิตวิญญาณศาสนาของสังคมไปจนหมดสิ้นแล้ว นอกจากนั้นยังได้ทำลายและเป็นการคุกคามความสำรวมของประชาชน ...
  • จริงหรือไม่ที่อิมามฮุเซน (อ.) สมรสกับชะฮ์รบานู?
    9001 تاريخ بزرگان 2554/12/19
    เกี่ยวกับประเด็นการสมรสระหว่างอิมามฮุเซน (อ.) กับชะฮ์รบานูซึ่งเป็นเชลยศึกของกองทัพมุสลิมนั้นมีหลายทัศนะด้วยกันเนื่องจากบางรายงานเล่าว่าหญิงคนนี้ถูกจับเป็นเชลยในสมัยการปกครองของอุมัรบ้างกล่าวว่าสมัยอุษมานอีกทั้งยังระบุนามของท่านและบิดาของท่านไว้แตกต่างกันด้วยเหตุนี้ยากที่จะฟันธงว่าภรรยาขอของอิมามฮุเซน (อ.) และมารดาของอิมามซัยนุลอาบิดีน(อ.) เป็นชาวอิหร่าน ( อีกทั้งการที่มีนามว่าชะฮ์รบานู) ...
  • จนถึงปัจจุบันมีผู้ใดบ้างได้ยืนหยัดต่อสู้กับชัยฎอน และแนวทางการต่อสู้ของเขาเป็นอย่างไร?
    8219 จริยธรรมปฏิบัติ 2555/04/07
    ตามทัศนะของอัลกุรอาน ชัยฏอนไม่อาจมีอิทธิพลเหนือปวงบ่าวที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ ปวงบ่าวที่เป็น มุคลิซีน หมายถึง บุคคลที่ได้ไปถึงยังตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งชัยฏอนไม่อาจมีอำนาจเหนือพวกเขาได้ แน่นอน การต่อสู้กับชัยฏอนจำเป็นต้องมีสื่อและอุปกรณ์จำเป็นประกอบการต่อสู้ ซึ่งการมีอุปกรณ์เหล่านี้สามารถยืนหยัดต่อสู้กับชัยฏอนได้ และจะได้รับชัยชนะในการต่อสู้ ซึ่งจะขอยกตัวอย่างอุปกรณ์บางอย่างเหล่านั้น ได้แก่ 1.อีมาน : อัลกุรอานกะรีมกล่าวว่า อีมาน คือ ตัวการหลักที่ขัดขวางการมีอิทธิพลของชัยฏอนเหนือผู้ศรัทธา 2. ตะวักกัล : อีกหนึ่งตัวการที่สามารถเอาชนะชัยฏอนและพลพรรคได้ คือการตะวักกัลป์ มอบหมายภารกิจแด่อัลลอฮฺ 3. อิสติอาซะฮฺ : หมายถึงการขอความช่วยเหลือ หรือสถานพักพิงต่ออัลลอฮฺ 4. การรำลึกถึงอัลลอฮฺ : การรำลึกถึงอัลลอฮฺ จะให้ความสว่างแก่มนุษย์ ...
  • การจ่ายคุมซ์เป็นทรัพย์สินเพียงครั้งเดียว แล้วต่อไปไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกใช่หรือไม่?
    5441 สิทธิและกฎหมาย 2554/06/22
    ดั่งเป็นที่ทราบกันดีว่าคุมซ์คือหนึ่งในการบริจาคทรัพย์อันเป็นวาญิบสำคัญในอิสลามเป็นหนึ่งในหลักการอิสลามและเป็นอิบาดะฮฺด้วยด้วยสาเหตุนี้เองจำเป็นต้องเนียต (ตั้งเจตคติ) เพื่อแสวงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ (ซบ.)ทรัพย์สินและเงินทุนต่างๆที่ต้องจ่ายคุมซ์ถ้าหากจ่ายคุมซ์ไปแล้วเพียงครั้งเดียวไม่วาญิบต้องจ่ายคุมซ์อีกแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานหลายปีก็ตามแต่ถ้าเป็นทรัพย์ที่เติบโตหรือมีราคาสูงขึ้นกว่าเดิมทุนเดิมไม่ต้องจ่ายคุมซ์แต่ส่วนที่เป็นผลกำไรงอกเงยอออกมาวาญิบต้องจ่ายคุมซ์[1][1]  เตาฏีฮุลมะซาอิลมะริญิอฺ
  • มีรายงานฮะดีซจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อล ฯ) เกี่ยวกับการถือศีลอดในวันอาชูรอหรือไม่? และศีลอดนี้ถือเป็นศีลอดมุสตะฮับด้วยหรือไม่?
    6800 สิทธิและกฎหมาย 2554/12/20
    ตาราฮะดีซที่เชื่อถือได้ของฝ่ายชีอะฮฺ, ไม่มีรายงานฮะดีซทำนองนี้ปรากฏให้เห็นทีว่าท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) กล่าวว่า, การถือศีลอดในวันอาชูรอเป็นมุสตะฮับ,
  • อัลลอฮฺ ทรงพึงพอพระทัยผู้ใด? บุคคลใดที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัย, ผู้นั้นจะได้เป็นเจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความโปรดปรานหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว โองการที่ 28 บทอันบิยาอฺที่กล่าวว่า : และพวกเขาจะมิให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใด, นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย จะไม่ขัดแย้งกันดอกหรือ? อีกนัยหนึ่ง : เจ้าของสรวงสวรรค์แห่งความพึงพอพระทัย จะเข้ากันได้อย่างไรกับชะฟาอะฮฺ?
    9266 การตีความ (ตัฟซีร) 2554/10/22
    อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงพึงพอพระทัยบุคคลที่มีศรัทธาและพึงปฏิบัติคุณงามความดี, เพียงแต่ว่าความศรัทธาและคุณงามความดีนั้นมีทั้งเข้มแข็งมั่นคงและอ่อนแอ อีกทั้งมีระดับชั้นที่แตกต่างกันออกไป, ความพึงพอพระทัยของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกเขาจึงแตกต่างกันออกไปด้วยสรวงสวรรค์ ก็เช่นเดียวกันถูกแบ่งไปตามระดับชั้นของความศรัทธา คุณภาพ และปริมาณของคุณงามความดีที่ชาวสวรรค์ได้สั่งสม ซึ่งระดับชั้นของสวรรค์ก็มีความแตกต่างกันออกไป ส่วน “สวรรค์ชั้นริฎวาน” คือสวรรค์ชั้นสูงที่สุด เจ้าของสวรรค์ชั้นนี้ได้แก่ บรรดาศาสดาทั้งหลาย, บรรดาตัวแทนและบรรดาหมู่มิตรของอัลลอฮฺ (ซบ.), ตลอดจนบรรดาผู้ใกล้ชิดอัลลอฮฺ ชนกลุ่มนี้ไม่ต้องการชะฟาอะฮฺแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาคือผู้ให้ชะฟาอะฮฺ และยังเป็นสักขีพยานในวันแห่งการฟื้นคืนชีพอีกต่างหาก. ด้วยเหตุนี้เอง วัตถุประสงค์ของประโยคที่ว่า “มะนิรตะฎอ” (ผู้ที่ได้รับความพึงพอพระทัยจากอัลลอฮฺ) ในโองการอัลกุรอานจึงไม่ใช่บุคคลที่เป็นเจ้าของสวรรค์ชั้นริฏวาน เพื่อว่าระหว่างตำแหน่งชั้นของพวกเขากับโองการจะได้ไม่ขัดแย้งกันอัลกุรอาน โองการดังกล่าวอยู่ในฐานะของการขจัดความสงสัยและความเข้าใจผิด ของบรรดาผู้ปฏิเสธที่วางอยู่บนความเข้าใจที่ว่า มลาอิกะฮฺจะให้ชะฟาอะฮฺแก่พวกเขา, เนื่องจากมลาอิกะฮฺคือเจ้าหน้าที่ของอัลลอฮฺ ซึ่งพวกเขาจะไม่ปฏิบัติสิ่งใดที่ขัดแย้งต่อบัญชาของพระองค์, พวกเขาจะให้ชะฟาอะฮฺแก่บุคคลผู้ซึ่ง ...

เนื้อหาที่มีผู้อ่านมากที่สุด

  • อะไรคือหน้าที่ๆภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีบ้าง?
    59740 สิทธิและกฎหมาย 2554/07/07
    ความมั่นคงของชีวิตคู่ขึ้นอยู่กับความรักความผูกพัน ความเข้าใจ การให้เกียรติและเคารพสิทธิของกันและกัน และเพื่อที่สถาบันครอบครัวจะยังคงมั่นคงเป็นปึกแผ่น อิสลามจึงได้ระบุถึงสิทธิของทั้งภรรยาและสามี ขณะเดียวกันก็ได้กำหนดหน้าที่สำหรับทั้งสองฝ่ายไว้ด้วย เนื่องจากเมื่ออัลลอฮ์ประทานสิทธิ ก็มักจะกำหนดหน้าที่กำกับไว้ด้วยเสมอ ข้อเขียนนี้จะนำเสนอหน้าที่ทางศาสนาบางส่วนที่ภรรยาพึงปฏิบัติต่อสามีดังต่อไปนี้:1. ...
  • ดุอาใดบ้างที่ทำให้ได้รับพรเร็วที่สุด?
    57101 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/07/03
    มีดุอาที่รายงานจากอิมาม(อ.)หลายบทที่กล่าวขานกันว่าเห็นผลตอบรับอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาดุอาทั้งหมด ณ ที่นี้ได้ จึงขอกล่าวเพียงชื่อดุอาที่มีความสำคัญเป็นพิเศษดังต่อไปนี้1. ดุอาตะวัซซุ้ล2. ดุอาฟะร็อจ
  • กรุณานำเสนอบทดุอาเพื่อให้ได้พบคู่ครองที่เหมาะสมและเปี่ยมด้วยตักวา
    41905 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/06/12
    ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีปัจจัยและเงื่อนไขจำเพาะตามที่พระเจ้าทรงกำหนดหากเราประสงค์สิ่งใดย่อมต้องเริ่มจากการตระเตรียมปัจจัยและเงื่อนไขเสียก่อนปัจจัยของการแต่งงานคือการเสาะหาและศึกษาอย่างละเอียดทว่าเพื่อความสัมฤทธิ์ผลในการดังกล่าวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์เพื่อทรงชี้นำการตัดสินใจและความพยายามของเราให้บรรลุดังใจหมาย.การอ่านบทดุอาต่างๆที่รายงานจากบรรดาอิมาม(อ)ต้องควบคู่กับความพยายามศึกษาและเสาะหาคู่ครองอย่างถี่ถ้วน. หนึ่งในดุอาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะก็คือรายงานที่ตกทอดมาจากท่านอลี(อ)ดังต่อไปนี้: “ผู้ใดประสงค์จะมีคู่ครอง
  • ด้วยเหตุผลอันใดที่ต้องกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อน บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม?
    38767 วิทยาการกุรอาน 2555/08/22
    หนึ่งในมารยาทของการอ่านอัลกุรอาน ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน และรายงานฮะดีซคือ การกล่าว อะอูซุบิลลาฮิ มินัชชัยฏอน นิรเราะญีม ก่อนที่จะเริ่มอ่านอัลกุรอาน หรือแม้แต่ให้กล่าวก่อนที่จะกล่าว บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม เสียด้วยซ้ำไป ด้วยเหตุผลที่ว่า บิซมิลลาฮิรเราะฮฺมานนิรเราะฮีม นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอัลกุรอาน อย่างไรก็ตามการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺ มิใช่แค่เป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ทว่าสิ่งนี้จะต้องฝังลึกอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา ซึ่งต้องสำนึกสิ่งนี้อยู่เสมอตลอดการอ่านอัลกุรอาน ...
  • ครูบาอาจารย์และลูกศิษย์(นักเรียนนักศึกษา)มีหน้าที่ต่อกันอย่างไร?
    38602 จริยธรรมปฏิบัติ 2554/11/14
    ผู้สอนและผู้เรียนมีหน้าที่ต่อกันหลายประการด้วยกันซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นสองส่วนก. หน้าที่ที่ผู้สอนมีต่อผู้เรียนอันประกอบด้วยหน้าที่ทางจริยธรรมการอบรมและวิชาการ ข. หน้าที่ที่ผู้เรียนมีต่อผู้สอนอาทิเช่นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ยกย่องวิทยฐานะของท่านนอบน้อมถ่อมตน ...ฯลฯ ...
  • ก่อนการสร้างนบีอาดัม(อ) เคยมีการแต่งตั้งญินให้เป็นศาสนทูตสำหรับฝ่ายญินหรือไม่?
    33725 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/06/12
    อัลกุรอานยืนยันการมีอยู่ของเหล่าญินรวมทั้งได้อธิบายคุณลักษณะบางประการไว้ถึงแม้ว่าข้อมูลของเราเกี่ยวกับโลกของญินจะค่อนข้างจำกัดแต่เราสามารถพิสูจน์ว่าเหล่าญินเคยมีศาสนทูตที่เป็นญินก่อนการสร้างนบีอาดัมโดยอาศัยเหตุผลต่อไปนี้:1. เหล่าญินล้วนมีหน้าที่ทางศาสนาเฉกเช่นมนุษย์เราแน่นอนว่าหน้าที่ทางศาสนาย่อมเป็นผลต่อเนื่องจากการสั่งสอนศาสนาด้วยเหตุนี้จึงมั่นใจได้ว่าอัลลอฮ์ทรงเคยแต่งตั้งศาสนทูตสำหรับกลุ่มชนญินเพื่อการนี้2. เหล่าญินล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในวันกิยามะฮ์เฉกเช่นมนุษย์เราซึ่งโดยทั่วไปแล้วก่อนกระบวนการพิพากษาทุกกรณีจะต้องมีการชี้แจงข้อกฏหมายจนหมดข้อสงสัยเสียก่อนและการชี้แจงให้หมดข้อสงสัยคือหน้าที่ของบรรดาศาสนทูตนั่นเอง
  • เนื่องจากอัลลอฮฺทรงรอบรู้เหนือโลกและจักรวาล ฉะนั้น วัตถุประสงค์การทดสอบของอัลลอฮฺคืออะไร?
    27699 เทววิทยาดั้งเดิม 2554/03/08
    ดังที่ปรากฏในคำถามว่าการทดสอบของอัลลอฮฺไม่ได้เพื่อการค้นหาสิ่งที่ยังไม่รู้เนื่องจากอัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงปรีชาญาณเหนือทุกสรรพสิ่งแต่อัลกุรอานหลายโองการและรายงานที่ตกมาถึงมือเรากล่าวว่าการทดสอบเป็นแบบฉบับหนึ่งและเป็นกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่วางอยู่บนแบบฉบับอื่นๆอันได้แก่การอบบรมสั่งสอนการชี้นำโดยรวมของพระเจ้าอัลลอฮฺ
  • ปีศาจ (ซาตาน) มาจากหมู่มะลาอิกะฮฺหรือญิน ?
    27532 การตีความ (ตัฟซีร) 2553/12/22
    เกี่ยวกับคำถามที่ว่าชัยฎอนเป็นมะลาอิกะฮฺหรือญินมีมุมมองและทัศนะแตกต่างกันแหล่งที่มาของความขัดแย้งนี้เกิดจากเรื่องราวการสร้างนบีอาดัม (อ.) เนื่องจากเป็นคำสั่งของพระเจ้ามวลมะลาอิกะฮ์ทั้งหลายจึงได้กราบสุญูดอาดัมแต่ซาตานไม่ได้ก้มกราบบางคนกล่าวว่าชัยฎอน (อิบลิส) เป็นมะลาอิกะฮฺ, โดยอ้างเหตุผลว่าเนื่องจากโองการอัลกุรอานกล่าวละเว้น, อิบลิสไว้ในหมู่ของมะลาอิกะฮฺ (มะลาอิกะฮ์ทั้งหมดลดลงกราบยกเว้นอิบลิส) ดังนั้นอิบลิส
  • อายะฮ์ إِذا مَا اتَّقَوْا وَ آمَنُوا وَ عَمِلُوا الصَّالِحاتِ ثُمَّ اتَّقَوْا وَ آمَنُوا ثُمَّ اتَّقَوْا وَ أَحْسَنُوا وَ اللَّهُ یُحِبُّ الْمُحْسِنین การกล่าวซ้ำดังกล่าวมีจุดประสงค์ใด?
    27355 การตีความ (ตัฟซีร) 2555/02/07
    ในแวดวงวิชาการมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการย้ำคำว่าตักวาในโองการข้างต้นบ้างเชื่อว่ามีจุดประสงค์เพื่อให้เล็งเห็นความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับตักวาอีหม่านและอะมั้ลที่ศอลิห์
  • เมื่ออัลลอฮฺ มิทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายจากสิ่งใดทั้งหมด, หมายความว่าอำนาจของพระองค์ได้ถ่ายโอนไปสู่วัตถุปัจจัยกระนั้นหรือ?
    25417 รหัสยทฤษฎี 2555/05/17
    ใช่แล้ว การสร้างจากสิ่งไม่มีตัวตนมีความหมายตามกล่าวมา, เนื่องจากคำว่า ไม่มีตัวตน คือไม่มีอยู่ก่อนจนกระทั่งอัลลอฮฺ ทรงสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา รายงานฮะดีซก็กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้เช่นกันว่า อำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคุณลักษณะอื่นของพระองค์ ซึ่งเกินเลยอำนาจความรอบรู้ของมนุษย์ เนื่องจากสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมา จากสิ่งไม่มี ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย เปรียบเสมือนภาพที่ถ่ายโอนอำนาจสัมบูรณ์ของพระเจ้า เราเรียกนิยามนี้ว่า “การสะท้อนภาพ”[1]ซึ่งในรายงานฮะดีซได้ใช้คำว่า “การเกิดขึ้นของคุณลักษณะ” : อัลลอฮฺ (ซบ.) ทรงเป็นพระผู้อภิบาลของเราที่มีความเป็นนิรันดร์ ความรอบรู้คือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีความรอบรู้อันใด การได้ยินคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการได้ยินใดๆ การมองเห็นคือ อาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีการมองเห็นอันใด อำนาจคืออาตมันของพระองค์ ขณะที่ไม่มีอำนาจอันใด และเนื่องจากพระองค์คือ ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ทำให้สิ่งเหล่านั้นมีและเป็นไป ความรู้ของพระองค์ได้ปรากฏบนสิ่งถูกรู้จักทั้งหลาย การได้ยิน ได้ปรากฏบนสิ่งที่ได้ยินทั้งหลาย การมองเห็นได้ปรากฏบนสิ่งมองเห็น และอำนาจของพระองค์ ...